Airpod 3 จากค่าย Apple เปิดตัวในราคาเบาๆ ในราคาประมาณ 6,000 บาท

Airpod 3

เปิดตัว Airpod 3 ในราคาประมาณ 6,000 บาท ในปีนี้บริษัท Apple ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมามากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น iPhone 13, iPad Mini, iMac ซึ่งก็ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับสาวก Apple ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว และมีงาน October Event ที่เพิ่งจัดขึ้นมาก็ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2 ชิ้นนั่นก็คือ MacBook Pro และAirpod3ซึ่งก็คงจะถูกอกถูกใจแฟนคลับ Apple ไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะAirpod3คงถูกอกถูกใจผู้ที่ชื่นชอบในการฟังเพลงมากเลยทีเดียว 

Airpod 3-ตัวอย่าง

Airpod 3 เปิดตัวในราคาประมาณ 6,000 บาท

สำหรับข้อมูลที่เรา ข่าวไอทีคอมพิวเตอร์ ได้มาบางส่วนนั้น Airpod 3ได้มีการเปิดตัวมาในราคาประมาณ 6,000 บาท โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมายที่จะเพิ่มประสบการณ์การฟังเพลงของผู้ใช้งานให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดยในAirpod 3จะมีเซนเซอร์ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมเสียงได้อย่างสะดวกและง่ายดายไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงหรือการโทรศัพท์ และยังมีการเพิ่มระบบ Low-distortion driver ที่ใช้ในการลดการบิดเบือนของเสียง และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการออกกำลังกายและฟังเพลงไปด้วยAirpod 3ได้ถูกพัฒนามาให้กันน้ำ แล้วเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถได้รับเสียงที่มีคุณภาพมากที่สุด

Airpod 3-ระบบ

ภายในAirpod 3จะมี Adaptive EQ ทำให้ผู้ฟังได้รับเสียงที่ดีมากที่สุด สำหรับระยะเวลาการใช้งานก็ได้ถูกเพิ่มให้ด้วยเช่นเดียวกันโดยAirpod 3จะมีระยะเวลาการใช้งานหรือว่า Battery Life อยู่ที่ 6 ชั่วโมงเมื่อใช้ในการฟังเพลงต่อเนื่อง และใช้เวลาในการชาร์จเพียงแค่ 5 นาทีสำหรับการใช้งาน 1 ชั่วโมง โดยถ้าชาร์จให้มีแบตเตอรี่ที่เต็มสามารถฟังได้ถึง 30 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพื่อให้ได้ใช้งานได้อย่างสะดวกAirpod 3รองรับการชาร์จแบตเตอรี่ด้วย Magsafe และรูปแบบ wireless 

Airpod 3-ภายใน

Airpod 3จะทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ในการฟังเพลงหรือไม่ก็โทรศัพท์ที่ดีกว่ารุ่นก่อนอย่างแน่นอน ยิ่งในตอนนี้ทาง Apple ได้มีการพัฒนาระบบเสียงให้มี Spatial Audio และระบบ Dolby Atmos ทำให้คุณภาพของเสียงที่มาจากผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นมีคุณภาพที่สูงมากเลยทีเดียวไม่ว่าจะจาก Apple TV หรือ Apple Music ถ้าใครที่ชื่นชอบในการฟังเพลงก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียวสำหรับAirpod3 

Continue Reading

Nokia แบรน์ดมือถือชื่อดังทำแท็บเลตราคาประหยัดออกมาสู่ตลาดยุคไอที

Nokia-แท็บเล็ต

ย้อนกลับไปในอดีตนั้น ทาง Nokia เคยพยายามเข้ามาตีตลาดแท็บเลตมาแล้วในช่วงปี 2013 ที่พวกเขาเคยทำตัวของ Lumia 2520  ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ของ Window เข้ามา เช่นเดียวกับรุ่น N1 ซึ่งทั้งสองต่างไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ก่อนที่จะไม่มีการผลิตสินค้ารุ่นต่อมาจากบริษัท

หลังจากที่พวกเขาได้รับรู้แล้วว่า แผนการตลาดนี้ไม่ได้ผล รวมถึงทาง HMD Global ก็น่าจะต้องการให้ทางแบรนด์เน้นการทำสมาร์ทโฟนมากกว่า จนกระทั่งได้เห็นโทรศัพท์มากมายหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ที่อยู่กับวงการมาเป็นเวลานาน

Nokia

Nokia เตรียมทำแท็บเลตราคาประหยัดออกมาสู่ตลาดแล้ว

แม้ว่า Nokia จะเคยล้มเหลวมาแล้วนั้น แต่จากการจดสิทธิบัตรของพวกเขาก็น่าจะทำให้คนที่สนใจ ข่าวไอทีคอมพิวเตอร์ ในวงการอาจได้เห็นแท็บเลตภายใต้การบริหารของ HMD เป็นครั้งแรก รวมถึงจะใช้ระบบแอนดรอยด์แทนจะเป็น Window อีกด้วย ซึ่งขนาดของอุปกรณ์อาจอยู่ที่ 10.36 นิ้วเลยทีเดียว แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมออกมาก็ตาม รวมถึงราคาอาจอยู่เพียงแค่ 185 ปอนด์หรือ 8,500 บาทเท่านั้น เช่นเดียวกับอาจเป็นอุปกรณ์สเป้คกลางราคาถูกที่อาจเข้ามาตีตลาดราคากลางได้เป็นอย่างดี

Nokia-ตัวอย่าง

แน่นอนว่า Nokia คงจะไม่ผลิตอุปกรณ์มาแข่งกับ iPad Pro อย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยก็อาจใกล้เคียงกับตัวของ Amazon Fire HD 10 ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในฝั่งตะวันตกนั่นเอง ส่วนชื่อที่หลายคนคาดเอาไว้ก็น่าจะเป็น T20 ตามที่แบรนด์มักจะตั้งชื่อ C20 , G20 หรือ XR20 ไว้ก่อนหน้านี้

Nokia-สเป็ค

โดยสเป็คหลักก็อาจจะใช้แรมที่ 4GB กับหน่วยความจำที่ 64GB ด้วยกัน ซึ่งจะดีกว่า Fire HD ที่ให้แรมมาเพียง 3GB กับความจำที่ 32GB เท่านั้น รวมถึงทางบริษัทอาจปล่อยรุ่นที่สามารถใช้ซิม 4G เข้ามาดว้ยเพื่อให้สะดวกต่อการพกพามากขึ้นนั่นเอง

การลงตลาดของ Nokia กับ HMD Global ก็จะไม่ได้มีเพียงแค่การทำแท็บเลตราคาถูกเท่านั้น แต่พวกเขายังมักจะใส่ฟีเจอร์บางอย่างหรือสเป็คที่แรงกว่าคู่แข่งเล็กน้อยในราคาที่ถูกลงไปกว่าเดิม จนทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จขึ้นมาในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งราคาที่ไม่เกิน 200 ปอนด์หรือ 9,000 บาทก็คงจะทำให้มีคนหันไปลองใช้อุปกรณ์ในราคาประหยัดของพวกเขามากกว่าจะทุ่มซื้อผลิตภัณฑ์ราคาสูงในตลาด

Continue Reading

Snapdragon 780G ชิปตัวแรงสำหรับสมาร์ทโฟนสายเกมเมอร์กำลังขาดตลาด

Snapdragon-ตัวชิป

ชิพรุ่นกลางอย่าง Snapdragon 780G ถือเป็นหนึ่งในชิพหลักที่ทางบริษัทผลิตสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์มีแผนจะนำไปใช้งานในอุปกรณ์รุ่นกลางของพวกเขา แต่ทว่าจากปัญหาเรื่องการผลิตก็น่าจะทำให้พวกเขาจะต้องหันไปใช้ชิพตัวอื่นแล้ว แม้ว่าแผนเดิมในช่วงต้นปี 2021 จะมีแบรนด์ทั้ง  Xiaomi หรือ Vivo ต้องการชิพนี้ไปใช้ในโทรศัพท์ก็ตาม ก่อนที่ทางตัวแทนจากแบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีนจะออกมาเปิดเผยว่า กำลังผลิตที่น้อยกว่าที่คาดจาก Qualcomm อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชิพนี้จะต้องเปลี่ยนแผนอย่างแน่นอน

Snapdragon-มือถือ

วงการสมาร์ทโฟนต้องสะเทือน Snapdragon 780G กำลังขาดตลาด

สำหรับผู้ที่ไม่อยากพลาด ข่าวไอทีคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ อย่าลืมติดตามเราเว็บไซต์ของคนทันสมัย

เชื่อกันว่า ชิพ Snapdragon 780G จะผลิตออกมาได้น้อยกว่าที่คาดกันไว้มาก ซึ่งก็ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ จะต้องหันไปหาชิพอีกตัวของ Qualcomm แทนอย่าง Snapdragon 778G ที่มีความสามารถน้อยกว่า ถึงจะไม่ได้แตกต่างกันมากจนเห็นได้ชัดก็ตาม

Snapdragon-ความแรง

เนื่องจากรุ่น 780 นั้นเป็นการผลิตชิพขนาด 5nm ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่มากกว่า เมื่อเทียบกับ 778 ที่ยังคงเป็นชิพขนาด 6nm ที่มีความสามารถน้อยกว่าและไม่ประหยัดแบตเตอรี่เท่ารุ่นใหม่ที่มีแผนจะผลิตออกมาในปี 2021 แต่บริษัทต่าง ๆ กลับไม่เหลือทางเลือกมากแล้ว

เมื่อ Snapdragon 780G มีปัญหาแล้วนั้น ทางแบรนด์สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์อย่าง Xiaomi, Motorola หรือ Oppo ก็จะต้องเร่ง slot168 เปลี่ยนแผนการชิตซีพียูของตัวเองเป็นการด่วน หากต้องการจะวางจำหน่ายตามกำหนดการเดิมของพวกเขา

Snapdragon

ซึ่งการนำเอา Snapdragon 778G มาใช้ก็อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้สัมผัสความแตกต่างของการใช้งานเท่าไหร่นัก เนื่องจากโครงสร้างภายในของพวกเขาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แม้ว่าในรุ่น Mi 11 Lite จะยังโชคดีที่ได้ใช้ชิพตัวใหม่ไปตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่วนสาเหตุที่ Qualcomm ไม่สามารถผลิตชิพได้ตามเป้านั้นก็ยังไม่มีการชี้แจงออกมา

แม้สถานการณ์ทั่วโลกจะเริ่มดีขึ้นจากโรคระบาด แต่ทาง Qualcomm ก็ยังมีปัญหาเรื่องการผลิตชิพ Snapdragon 780G ไปจนถึงรุ่นอื่น ๆ มาโดยตลอด จนทำให้แบรนด์สมาร์ทโฟนมากมายต้องเจอผลกระทบไปไม่น้อย ทั้ง Xiaomi ที่มักจะนิยมใช้งานชิพของพวกเขามากกว่า เช่นเดียวกับ Motorola ที่หวังพึ่ง Snapdragon ในสมาร์ทโฟนหลายรุ่นของพวกเขา นับตั้งแต่การกลับมาเอาจริงในตลาดฝั่งตะวันตกนั่นเอง

Continue Reading

Safari ปรับโฉมเบราว์เซอร์ ใหม่หลังจากการอัพเดทระบบปฎิบัติการเป็น iOS 15

Safari-หน้าปก

ทาง Apple ได้เตรียมที่จะออกแบบเบราว์เซอร์อย่าง Safari ใหม่อีกครั้งในการอัพเดท iOS 15 ตัวล่าสุดของพวกเขา โดยผู้ใช้ทั้ง iPhone, iPad หรือ MacBook ก็จะได้ใช้เบราว์เซอร์ที่มีหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งกระแสตอบรับของผู้ใช้ตัวเบต้าในปัจจุบันก็มีเสียงแตกออกไป เนื่องจากมีบางส่วนที่ชอบการดีไซน์ใหม่จากบริษัทที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่อีกฝั่งหนึ่งก็มองว่า เบราว์เซอร์ของ Apple เหมือนจะย้อนกลับไปใช้ฟีเจอร์เหมือนสมัยก่อนที่ดูจะน่าผิดหวังเกินไป สำหรับคนรอของใหม่ในปี 2021 นี้

Safari

เบราว์เซอร์ Safari โฉมใหม่หลังจากการอัพเดท iOS 15

สำหรับผู้ที่ไม่อยากพลาด ข่าวไอทีคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ อย่าลืมติดตามเราเว็บไซต์สำหรับคนทันสมัย

Safari-มาใหม่

ด้าน Safari ใน  iOS 15 ที่จะเปิดให้อัพเดทช่วงเดือนกันยายนและผู้ใช้อุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ของพวกเขาทั้ง iPhone และ iPad ก็จะได้เจอกับการดีไซน์ที่นำเอาความเห็นของผู้ใช้มาปรับเปลี่ยนหน้าตาของเบราว์เซอร์พวกเขา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือแถบ Search Bar คือช่องค้นหาจะอยู่ด้านล่างของหน้าจอเช่นเดิมและจะไม่เลื่อนขึ้นไปอยู่ด้านบนเมื่อทำการค้นหาแล้วอีกด้วย รวมถึงพวกเขายังจะใส่ฟีเจอร์การรีโหลดหน้าต่างแยกในเครื่องเมื่อผู้ใช้กดค้างที่แถบค้นหา อีกทั้งแถบนี้จะสั้นลงและแสดงข้อมูลในระหว่างการใช้งานโหมดการอ่านหรือส่วนเสริมต่าง ๆ อีกด้วย

Safari-ios 15

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปของ Safari จริง ๆ ก็คือคนที่ใช้งานใน MacOS ที่ทาง Apple ได้ตัดสินใจนำเอาดีไซน์เก่าของเบราว์เซอร์ตัวเองมาใช้ ทั้งหน้าตาของแถบ URL หรือแท็บหน้าต่างเว็บไซต์ โดยช่องใส่ชื่อเว็บไซต์จะอยู่ด้านบนของแท็บต่าง ๆ นั่นเอง

นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเลือกได้ว่า ต้องการจะใช้ดีไซน์แบบไหนในเบราว์เซอร์ของพวกเขา โดยเข้าไปตั้งค่าใน View และเลือก  Show Separate Tab Bar หากชอบหน้าตาดั้งเดิมที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

การอัพเดทครั้งนี้ของ Safari ก็น่าจะเพิ่มฟีเจอร์หรือตัวเลือกให้กับผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการปล่อยตัว iOS 15 แบบเบต้าก็น่าจะเป็นเพราะ Apple ต้องการถามหาความเห็นของผู้ใช้จริงว่า ต้องการเบราว์เซอร์แบบไหนในอุปกรณ์ของตัวเอง รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ได้เลือกเบราว์เซอร์ของบริษัทมากกว่าจะเป็นการบริการจากค่ายอื่น ๆ ที่สามารถโหลดมาใช้งานได้ผ่าน App Store ของตัวเอง จนบริษัทจะต้องเร่งพัฒนาแพลทฟอร์มนี้ให้ดียิ่งขึ้น

Continue Reading

ปลั๊กไฟอัจฉริยะ ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยสมาร์ทโฟน จาก Belkin WeMo

ปลั๊กไฟอัจฉริยะ-คุมด้วยมือถือ

อุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้าย ปลั๊กไฟอัจฉริยะ สะดวกสบายไม่ต้องกลัวลืม บ่อยครั้งที่เราอาจหลงลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อต้องออกจากบ้าน หากต้องเดินทางไม่ไกลก็คงจะหมดห่วงเพื่อให้ได้โล่งใจ แต่สำหรับท่านที่ต้องออกเดินทางไกลการลืมถอดปลั๊กหรือปิดไฟก็ดูเหมือจะเป็นเรื่องที่ต้องน่ากังวลสักเล็กน้อย โดยเฉพาะเราคงได้ยินข่าวไฟไหม้อยู่บ่อยครั้งโดยปัญหาหลักมักมาจากไฟฟ้ารัดวงจร วันนี้จึงได้เกิดนวัตกรรมใหม่เป็นปลั๊กไฟอัจฉริยะ Belkin WeMo เทคโนโลยีที่จะช่วยให้บ้านของคุณปลอดภัยมากขึ้น 

ปลั๊กไฟอัจฉริยะ-เต้ารับ

คุมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆด้วย Belkin WeMo ปลั๊กไฟอัจฉริยะ

สำหรับใครทีี่ไม่อยากพลายอุปกรณ์และเทคโนโลยีน่าใช้งานแบบนี้อย่าลืมติดตาม ข่าวไอทีคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ เว็บไซต์สำหรับคนทันสมัย

Belkin WeMo คืออะไร

ปลั๊ก Belkin WeMo คืออุปกรณ์รับส่งไฟฟ้าที่จะมาควบคุมการจ่ายไฟโดยสามารถเปิดปิดผ่านมือถือได้จากทุกที่ทั่วโลก เพียงเชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเตอร์เน็ตเครื่องก็พร้อมทำงานทันที เป็นปลั๊กไฟอัจฉริยะที่สร้างมาเพื่อแก้ปัญหาของนักเดินทางที่ขี้ลืมได้เป็นอย่างดี โดยการทำงานของเครื่องนี้ก็แค่เพียงเสียบเครื่องเข้ากับเต้าไฟแล้วนำปลั๊กไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าเสียบที่เครื่องอีกที ไม่ว่าคุณต้องการจะเปิดหรือปิด็สั่งการผ่านมือถือได้ และที่สำคัญยังสามารถตรวจสอบการทำงานผ่านมือถือดูปริมาณไฟที่ไหลผ่านได้อีกด้วย เป็นเทคโนโลยีสำหรับคนรักบ้านที่เป็นห่วงเรื่องอัตรายที่จะเกิดขึ้น หรือแม้แต่บ้านที่มีสัตว์เลี้ยงและต้องการดูแลเขาในขณะที่เราไม่อยู่ เจ้าเคร่องนี้ก็สามารถช่วยเหลือคุณได้แม้ต้องห่างจากบ้านข้ามทวีป Gclub

ปลั๊กไฟอัจฉริยะ-เสียบปลั๊ก

Belkin WeMo คือหนึ่งในเทคโนโลยีสำหรับ SMART HOME ที่สามารถเชื่อมต่อการทำงานเข้ากันกับ GOOGLE HOME ได้ด้วย เรียกได้ว่าคุณสามารถควบคุมการทำงานแบบเชื่อมถึงกันกับอุปกรณ์ทุกชิ้น และบ้านของคุณก็จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และที่สำคัญคือ ปลั๊กไฟอัจฉริยะนี้ยังนับว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากปัญหาลืมถอดปลั๊กหรือลืมปิดการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นรุนแรงถึงขั้นสร้างความเสียหายมหาศาล เจ้าเครื่องนี้จึงตอบโจทย์ทางด้านความปลอดภัยด้วยเช่นกัน 

ปลั๊กไฟอัจฉริยะ
Continue Reading

Super Mario 64 เกมในตำนานจาก Nintendo ถูกประมูลราคา 1.5 ล้านเหรียญ

Super Mario 64-ซอฟแวร์เกม

สำหรับเกม Super Mario 64 ถือเป็นเกมยอดฮิตของเครื่องเล่นเกม Nintendo 64 ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1996 โดยล่าสุด ในงานประมูล Video Game Signature Auction ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตลับเกมSuper Mario รุ่นนี้ถูกประมูลไปด้วยราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นการทำลายสถิติการประมูลตลับเกมเก่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว

Super Mario 64-ตลับ

ตลับเกม Super Mario 64 ถูกประมูลราคาทำลายสถิติ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!

สำหรับเพื่อนๆที่ไม่อยากพลาด ข่าวไอทีคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานของเรา

Super Mario 64ได้ให้คะแนนความสมบูรณ์ 9.8 คะแนน ระดับ A++

Heritage Auctions บริษัทประมูลของสะสมชื่อดังออกมายืนยันว่าตลับเกมSuper Mario 64 ของเครื่องเล่นเกมNintendo 64 ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี1996 ถูกประมูลไปด้วยราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 50 ล้านบาท

ภายในงานประมูลVideo Game Signature Auction ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่9 – 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการทำลายสถิติประมูลตลับเกมเก่าที่เคยมีมาซึ่งเจ้าของสถิติเก่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตลับเกม The Legend of Zelda ที่เพิ่งมีการประมูลไปก่อนหน้านี้เพียงสัปดาห์เดียว มูลค่าการประมูลจบลงที่ 870,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28 ล้านบาท

Super Mario 64-เครื่องเกม

ทั้งนี้ ความพิเศษของเจ้าตลับเกมSuper Mario 64ที่ทำให้มันถูกประมูลไปถึ 1.5 ล้านเหรียญ ก็เพราะตัวตลับเกมได้รับการการันตีคุณภาพจากWata gamesที่มีชื่อเสียงด้านการคะแนนคุณภาพของเกม โดยได้คะแนนความสมบูรณ์ไปถึง9.8 คะแนนระดับ A++ หรือพูดง่าย ๆ ว่า มันไม่เคยถูกแกะออกจากกล่องเลยแม้แต่น้อย และอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ 100% นั่นเอง

Super Mario 64-ฉากในเกม

ปัจจุบัน ตลับเกมSuper Mario 64 ถือเป็นแรไอเท็มที่หายากมาก โดยเฉพาะตลับเกมที่ยังบรรจุอยู่ในกล่องสภาพสมบูรณ์ ทำให้มันกลายเป็นของสะสมที่เหล่านักสะสมของเก่าต้องการเป็นอย่างมาก  อย่างไรก็ตาม ในการประมูลวันเดียวกัน ufabet1688

ทั้งทางผู้จัดสามารถปล่อยตลับเกมSuper Mario 64 อีกตลับหนึ่งที่ได้คะแนนความสมบูรณ์9.6 ออกไปในราคาเพียง13,200 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 430,000 บาทเท่านั้น ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะตลับเกมความสมบูรณ์ระดับ 9.8 คะแนน เป็นสิ่งที่หาแทบไม่ได้แล้ในปัจจุบัน ทำให้มันมีราคาสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั่นเอง 

Continue Reading